LINE

ติดต่อสอบถาม ได้ที่ 074-223420 หรือ 081-5988838
LINE ID : mailaser2006

2554-02-26

ความจริงเกี่ยวกับอาหารเสริม 2011


ช่วงนี้ชอบมีคนถามเรื่องเกี่ยวกับการรับประทานอาหารเสริม อาทิเช่น การทานอาหารเสริมจำเป็นแค่ไหน อะไรที่ควรเสริมแล้วจะมีผลตกค้างในร่างกายหรือเปล่ารวมถึงมักมีคนเข้ามาชวนซื้อหรือชวนไปขายอาหารเสริม คิดว่าท่านหลายๆคนคงประสบปัญหาเหมือนกัน

บางเรื่องหมอก็พอมีความรู้อยู่บ้าง เช่น การเสริมแคลเซียมในวัยทอง หรือธาตุเหล็กในคนไข้โลหิตจาง เพราะต้องแนะนำประจำ แต่ตอนนี้มีอาหารเสริมสารพัดเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น จมูกข้าว น้ำดื่มเสริมความงาม น้ำมันปลา สมุนไพรจึงทำให้หมอเองก็ต้องตื่นตัวมาค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อนำมาใช้กับตัวเองและครอบครัว รวมถึงจะได้ให้คำแนะนำได้ถูกต้องเวลามีคนถาม


ข้อมูลที่ได้มามักจะเป็นข้อมูลจากต่างประเทศ เพราะมักมีคนขี้สงสัยและเข้าไปศึกษาวิจัยจนได้คำตอบมา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะถูกต้อง 100 % ทุกเรื่อง อาหารเสริมบางตัวผลตอนนี้อาจจะดีแต่อีก2-3ปีข้างหน้าอาจะพบว่าก่อให้เกิดปัญหา เป็นต้น จึงต้องอ่านแล้วมากลั่นกรองและจับประเด็นได้ดังนี้ค่ะ


ใครบ้างที่ควรทานอาหารเสริมและควรเลือกทานอะไร

บุลคลบางกลุ่ม

ที่ควรทานอาหารเสริมหรือวิตามินบางอย่าง ได้แก่

· สตรีวัยทอง ควรได้รับแคลเซียมอย่างน้อย 1000 มิลลิกรัม และ วิตามินดี

400 ยูนิต ต่อวัน เพื่อป้องกันกระดูกพรุน และความเสี่ยงกระดูกหัก นอกจากนี้วิตามินดียังมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง

· ในคนสูงอายุ การรับประทาน น้ำมันปลาที่มีโอเมก้า-3 หรือ DHA ช่วยในเรื่องความจำ ลดอาการหลงลืมตามวัย ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ แต่ยังไม่พบว่าทำให้อาการของอัลไซเมอร์ซึ่งเป็นโรคทางสมองชนิดหนึ่งในคนสูงอายุดีขึ้น

· การเสริมวิตามินรวม เช่นวิตามินเอ ซี อีและซิงค์ [Zinc] ในคนไข้ภูมิต้านทานบกพร่อง หรือ HIV ช่วยเพิ่มระดับเม็ดเลือดขาว CD4 ทำให้ภูมิต้านทานต่อโรคดีขึ้น

· โคเอนไซด์ [Co-enzyme Q10] 30-300 มิลลิกรัมต่อวัน ช่วยลดปัญหาโรคหัวใจแทรกซ้อนในคนที่มีปัญหาหัวใจวาย หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

บุคคลสุขภาพดีที่ยังไม่มีโรคแทรกซ้อน

มีรายงานพบว่าการเสริมวิตามินบางตัว อาจให้ผลดีและมีประโยชน์ได้แก่

· ในผู้ชาย การทานอาหารเสริมที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินอี ซี

เบต้าแคโรทีน ซิงค์ [Zinc] ซีลีเนียม [selenium] ช่วยลดการเกิดมะเร็งและโรคหัวใจ เนื่องจากผู้ชายมักทานอาหารที่มีผักผลไม้น้อยกว่าผู้หญิง

· การรับประทานวิตามินรวมที่มี โฟเลทและวิตามินบี6 อาจจะช่วยลดการเกิดมะเร็งเต้านม

· อาหารเสริมที่มีคาร์โรตินอยด์ และโปรไบโอติก ซึ่งเป็นอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของ Lactobacillus johnsonii (La1) ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่ง พบว่าทำให้ความต้านทานต่อแสงแดดของผิวหนังมากขึ้น จึงช่วยในการปกป้องผิวและลดการเกิดริ้วรอยและจุดด่างดำในระยะยาว (ดีจัง)


ข้อควรระวังในการเลือกทานอาหารเสริม

1. ปริมาณที่ปลอดภัยในการรับประทาน

เนื่องจากบางคนเลือกรับประทานอาหารเสริม สมุนไพรหรือวิตามินพร้อมกันหลายๆตัว ก่อนทานควรต้องทราบว่าในอาหารเสริม สมุนไพรหรือวิตามินนั้นๆมีอะไรเป็นส่วนประกอบบ้าง เพราะมีรายงานปัญหาจากการทานมากเกินไป

เช่น

มีรายงานคนไข้ 201 รายในอเมริกา มีอาการท้องเสีย อาเจียน ผมร่วงและปวดข้อ เนื่องจาก ซีลีเนียมเป็นพิษ

ตับอักเสบจากการทานสมุนไพรหรืออาหารเสริมเป็นระยะเวลานาน

2. ปริมาณสารพิษที่อาจปนเปื้อนมาในขั้นตอนการผลิต

เพราะฉนั้นที่มาของอาหารเสริม สมุนไพรหรือวิตามินจึงมีความสำคัญ

เช่น การปนเปื้อนของโลหะหนักจำพวกสารปรอท ตะกั่ว ในสาหร่ายหรือปลาทะเล เป็นต้น

3. ปัญหาการทานอาหารเสริม สมุนไพรหรือวิตามิน ร่วมกับยาบางตัว

เช่น สารสกัดจากใบแปะก๊วย หรือกระเทียมมีแนวโน้มทำให้เลือดออกง่ายในคนที่ทานยาละลายลิ่มเลือด หรือมีโรคหัวใจ เป็นต้น

**ข้อมูลที่กล่าวมาเป็นเพียงข้อมูลบางส่วนจากการค้นคว้าเพื่อช่วยเป็นแนวทางในการเลือกทานอาหารเสริมเท่านั้น อาหารเสริม สมุนไพรหรือวิตามินบางตัวไม่ได้เอ่ยถึงในที่นี้เนื่องจากยังหาข้อมูลสนับสนุนว่ามีประโยชน์จริงไม่ได้ หากผู้อ่านมีข้อมูลเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์สามารถเขียนแนะนำได้ค่ะ

***ขอบคุณข้อมูลบางส่วนมาจาก Medscape Education

อรวิมล สุทธิศิริกุล

เอ็มเอไอ เลเซอร์คลินิก หาดใหญ่

www.skinlaser-hatyai.com


2554-02-23

ยกกระชับผิว อีกทางเลือกของความอ่อนเยาว์ .....

ในสมัยก่อนการจะมีใบหน้าที่เต่งตึง ดูอ่อนเยาว์ได้จำเป็นต้องอาศัยการทำศัลยกรรมตกแต่ง หรือที่เรียกว่า “การดึงหน้า” เข้าช่วยแต่เพียงอย่างเดียว หลังผ่าตัดมักมีผลเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพหน้าตา ไปพอสมควร รวมถึงต้องมีระยะพักฟื้นและอาจมีแผลเป็น ซึ่งบางครั้งดูไม่เป็นธรรมชาติจึงทำให้หลายคนไม่อยากเข้ารับการผ่าตัด
เทคนิคการยกกระชับผิวหน้า รวมถึงส่วนอื่นๆของร่างกาย จึงมีการพัฒนาขึ้นมาหลายวิธีเพื่อสนองความต้องการที่จะดูอ่อนเยาว์ขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยดูเป็นธรรมชาติมากกว่าและไม่จำเป็นต้องฟักฟื้น สามารถกลับไปทำงานได้โดยไม่เป็นที่สังเกตุ
แบบโครงสร้างใบหน้าที่อ่อนเยาว์และดูเป็นธรรมชาติช่วยในการออกแบบวิธีในการยกกระชับใบหน้า

เทคนิคการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องดึงหน้า ที่นิยมกันในปัจจุปันได้แก่


1. การทำเลเซอร์เพื่อยกกระชับผิว
ข้อดี - สามารถแก้ไขปัญหาผิวคล้ำ กระ ฝ้า ริ้วรอยพร้อมยกกระชับหน้า
ข้อเสีย - จำเป็นต้องทำหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง จึงจะเห็นผล


2. ยกกระชับผิวด้วยคลื่นวิทยุ
เนื่องจากคลื่นวิทยุจะลงไปในผิวได้ลึกกว่าเลเซอร์ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและ กระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนจึงทำให้ผิวกระชับขึ้น
ข้อดี - ไม่เจ็บ ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงแสงแดด เห็นผลเร็ว
ข้อเสีย - จำเป็นต้องทำหลายครั้งอย่างต่อเนื่องเช่นกัน จึงจะเห็นผลตามต้องการโดยเฉพาะ คนสูงอายุที่มีความหย่อนคล้อยมาก


3. การใช้ไหมสอดใต้ผิวหนังเพื่อยกกระชับหน้า
การใช้ไหมในการยกกระชับหน้า เริ่มมีครั้งแรกในทวีปยุโรปประมาณปี 1970 โดยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวได้มากและนานขึ้น และมีผลข้างเคียงน้อยลง ไหมที่เป็นที่นิยมและรู้จักกันมากได้แก่

ไหมทอง หรือ Gold Thread Lift
เนื่องจากทองเป็นโลหะที่ทำปฏิกิริยากับผิวหนังน้อยมาก จึงนิยมนำมาใช้สอดเข้าในร่างกายเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจน จึงทำให้ผิวกระชับขึ้นเหมือนการยกกระชับผิวด้วยคลื่นวิทยุ
โดยมีการพัฒนาของไหมทองขึ้นมาหลายบริษัทในหลายประเทศ เช่น Gold Lift ในอังกฤษและอเมริกา Happy Lift จากเกาหลี Gold Silk จากประเทศจีน เป็นต้น ซึ่งไหมแต่ละชนิดก็มีเทคนิคในการใช้รักษาที่แตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการทำ

ตัวอย่างตำแหน่งการสอดไหมเพื่อดึงให้ผิวตึง


ไหมแอปทอส หรือ Aptos Lift / Feather Lift
เป็นไหมสังเคราะห์ ซึ่งละลายภายใน 2-3 เดือน เป็นที่นิยมมากในอเมริกา
เนื่องจากราคาถูกกว่าไหมทอง
ขั้นตอนการยกกระชับผิวด้วยไหม

ข้อดี - ไม่ต้องวางยาสลบ ใช้เพียงยาชาเฉพาะที่ รวดเร็วใช้เวลาในการทำเพียง 1-2 ชั่วโมง
- ทำครั้งเดียว เห็นผลเร็วภายใน 3 เดือน อยู่นาน ???
(ยังไม่มีผลการยืนยันชัดเจน ขึ้นกับสภาพผิวและเทคนิคการทำ )
ข้อเสีย - ไม่เหมาะกับคนสูงอายุที่มีความหย่อนคล้อยมาก
มีรอยช้ำ บวม ได้หลังทำ 2-7 วัน
อาจมีปฏิกิริยากับไหมที่สอด ในบางคน

“ยังไม่พบผลข้างเคียงหรืออันตรายร้ายแรงจากการยกกระชับผิวด้วยเทคนิคที่กล่าวมาทั้งหมด เพียงแต่ผลอาจเห็นได้ไม่ชัดเจน แจ่มแจ่วในทันทีทันใดเหมือนการดึงหน้า แต่ก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่เริ่มมีปัญหาผิวหนังหย่อนยานและอยากดุสวยเป็นธรรมชาติค่ะ ”

อรวิมล สุทธิศิริกุล
เอ็มเอไอ เลเซอร์คลินิก หาดใหญ่
http://www.skinlaser-hatyai.com/

คนที่สนใจเรื่องไหมทอง อ่านข้อมูลภาษอังกฤษเพิ่มเติม ได้ที่
http://facelift-pedia.posterous.com/gold-thread-lift ค่ะ

2554-02-18

แผลเป็น...ความจริงเป็นเช่นไร ตอนที่ 1

การเกิดแผลเป็นเกิดตามหลังการบาดเจ็บที่ผิวหนังจากสาเหตุใดก็ได้แล้วไปการกระตุ้นกระบวณการซ่อมแซมผิว โดยปกติการซ่อมแซมนี้ร่างกายเราพยายามจะซ่อมผิวให้เหมือนเดิมมากที่สุด แต่ความเป็นจริงคือผิวหนังส่วนที่มีแผลเป็นจะมีความแข็งแรงเพียง 70-80 % ของผิวหนังปกติ


หากการซ่อมแซมผิวไม่ได้เกิดตามกระบวนการที่ถูกต้อง ก็จะทำให้เกิดรอยแผลเป็นที่ไม่น่าดูขึ้น รวมถึงในบางคนอาจมีอาการคัน ชา หรือเจ็บเป็นครั้งคราวร่วมบริเวณแผลเป็นด้วย


ชนิดของแผลเป็นที่พบบ่อย


1) แผลเป็นคีลอยด์ ( Keloids)


เป็นแผลเป็นนูนแข็ง สีชมพูถึงแดงเข้ม ขยายใหญ่ออกนอกแนวแผลเดิมได้ และมักไม่หดเล็กลง พบได้ในคนผิวคล้ำมากกว่าผิวขาว

2) แผลเป็นนูน (Hypertrophic scar)


แผลเป็นชนิดนี้ดูเผินๆคล้ายกับแผลเป็นคีลอยด์ แต่จะนูนน้อยกว่าและแผลจะไม่ขยายออกนอกรอยแผลเดิม


3) แผลเป็นชนิดบุ๋ม (Atrophic scar)


เกิดจากการยุบตัวของชั้นหนังแท้ พบบ่อยที่สุดบนผิวหน้าจากปัญหาสิวอักเสบ


4) รอยแตกลาย (Striae or Stretch marks )

รอยแตกลาย จัดเป็นรอยแผลเป็นบนผิวหนังอีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะพิเศษคือเป็นเส้นยาวเกิดจากการอักเสบของชั้นหนังแท้เมื่อผิวมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีสีชมพูในช่วงแรกและกลายเป็นรอยสีขาวในที่สุด


การรักษา


ในปัจจุปันการรักษาแผลเป็น สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นกับลักษณะของแผลเป็น ซึ่งวิธีการรักษาก็จะมีความแตกต่างกัน การใช้เลเซอร์ช่วยในการรักษาเป็นที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากเป็นวธีที่เห็นผลมากที่สุดนั่นเอง



อรวิมล สุทธิศิริกุล

ขอบคุณรูปและข้อมูลจาก E-medicine : Laser Revision of Scar : Keyvan Nouri, MD

2554-02-12

รอยดำ [ postinflamatory hyperpigmentation ]

รอยดำบนผิวหนังที่คนทั่วไปรู้จักดี คือรอยดำประเภท กระ ฝ้า ไฝ หรือปาน แต่รอยดำอีกประเภทที่พบบ่อยในคนไทย และเป็นปัญหาหนักใจที่ทำให้คนไข้ต้องมาพบหมอ คือ รอยดำตามหลังการอักเสบของผิวหนังแบบต่างๆ
สาเหตุของการเกิดรอยดำประเภทนี้ ได้แก่

1. ผิวหนังอักเสบติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราหรือไวรัส ทำให้เกิดแผลและทิ้งรอยดำ
2. ผิวหนังอักเสบเนื่องจากการแพ้สัมผัส เช่น แพ้เครื่องสำอาง


รอยดำที่คอจากการเล่นไวโอลิน

รอยดำที่นิ้วจากการแพ้สารเคมี
3. บาดแผลจากอุบัติเหตุ เช่น รอยถลอก ไฟไหม้ น้ำร้อนลวกรอยดำที่ข้อมือจากการทำอาหาร
4. รอยดำหลังจากการใช้ยาทาหรือยารับประทานบางชนิด เช่น ยาต้านมะเร็ง
ยาปฎิชีวนะบางตัว
รอยดำหลังใช้ยา Bleomycin
5. รอยดำจากปัญหาโรคผิวหนังเรื้อรัง อื่นๆ เช่น สิว

รอยดำจากโรคผิวหนัง

รอยดำประเภทนี้โดยมาก มักจะจางลงเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไปแต่รอยดำบางประเภทจางช้ามาก โดยใช้เวลามากกว่า 6 – 12 เดือน ขึ้นไป

การรักษา
มักต้องใช้หลายวิธีร่วมกันจึงจะเห็นผล

· ทายาลดรอยดำ ที่มีส่วนผสมที่ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและยับยั้งการสร้างเม็ดสี เช่น กรดวิตามินเอ กรดอะซีลาอิก สารไฮโดรควิโนน
ยาประเภทสเตียรอยด์

· ปกป้องผิวจากแสงแดด เนื่องจากการโดนแดดจะทำให้รอยดำเข้มขึ้น และหายช้า

· เร่งการผลัดเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้าออกไป และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ เช่น ผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดผลไม้ กรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี เป็นต้น
· การใช้เลเซอร์เพื่อช่วยกำจัดเม็ดสีที่ผิดปกติ สามารถทำได้หลายวิธีแต่วิธีที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบันคือ

เลเซอร์เอ็นดีแย็ค 1064 [ ND-YAG 1064 ] โดยแสงเลเซอร์สามารถผ่านลงไปทำลายเม็ดสีในชั้นลึกได้โดยไม่ทำให้เกิดแผลด้านบน


เลเซอร์ฟายสแกน [ FINESCAN LASER 1550] เป็นวิธีการยิงลำแสงขนาดเล็กจำนวนมาก ลงไปบนผิวที่มีรอยดำ ช่วยขจัดเม็ดสีและผลัดออกจึงทำให้รอยดำจางเร็วขึ้น

ไอพีแอล [ IPL ] ได้ผลบ้างแต่ไม่มากนัก

· เลือกใช้ผลิตภัณฑ์หรือเครื่องสำอางที่ได้มาตรฐาน หรือลองทดสอบบนผิวจุดเล็กๆก่อน
· สิ่งสำคัญที่สุดคือดูแลผิวหนัง ระมัดระวังอย่าให้เกิดแผล หลีกเลี่ยงการแคะ แกะ เกา หากมีโรคผิวหนังเรื้อรังควรปรึกษาแพทย์

อรวิมล สุทธิศิริกุล
เอ็มเอไอเลเซอร์คลีนิค

2554-02-05

ผิวชรา...เป็นอย่างไร [ aging skin ]

เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ผิวของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามวัย

ปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะแสงแดด ยิ่งทำให้ผิวชราและเสื่อมเร็วขึ้น โดยรังสีจากดวงอาทิตย์ ที่เราเรียกว่า UV-A และ UV-B สามารถทำอันตรายกับผิวหนังชั้นนอก และลงลึกถึงโครงสร้างผิวด้านในได้

ปัจจัยภายนอกอื่นๆที่มีส่วนทำให้ผิวชราเร็วขึ้น คือ บุหรี่ และ มลภาวะ

ความเสื่อมของผิว เกิดได้หลายลักษณะดังนี้

1. การเปลี่ยนแปลงของเซลล์สร้างเม็ดสี

กระ กระแดด ด่างขาว สีผิวไม่สม่ำเสมอ

2. การเปลี่ยนแปลงของเส้นเลือดใต้ผิว







เส้นเลือดฝอยขยายตัว รอยช้ำสีม่วง ติ่งเนื้อสีแดง

3.การเปลี่ยนแปลงของชั้นหนังแท้และคอลลาเจน
ทำให้ผิวหนังแห้งและบางลง จนเกิดริ้วรอย ผิวหย่อนยาน
4.โรคผิวหนัง ประเภท ต่างๆเช่น
แผ่นผิวหนังหนาสีน้ำตาล [seborrhoeic keratoses]
ตุ่มสีเหลืองบริเวณหน้าผาก [colloid milias]

รูขุมขนอุดตัน [
solar comedones]


2554-02-04

ปัญหาเหงื่อออกมากผิดปกติ [ Hyperhidrosis ]


พบได้ 2-3 % ในประชากร เกิดขึ้นได้ทุกส่วนของร่างกายแต่จุดที่พบบ่อยและเป็นปัญหาที่ต้องมาพบแพทย์ คือ เหงื่อออกมากผิดปกติที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้

การหลั่งเหงื่อเป็นการทำงานตามปกติของร่างกายเพื่อระบายความร้อน แต่คนที่มีปัญหาเหงื่อออกมากผิดปกติ สาเหตุเชื่อว่าความเครียดในชีวิตประจำวัน หรือ สิ่งแวดล้อม มีส่วนไปกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการหลั่งเหงื่อมากเกินจากคนทั่วไป

ดังนั้นในคนที่รู้สึกว่าตัวเองเหงื่อออกมาก จะทราบได้อย่างไรว่าเข้าข่ายเป็นโรคหรือไม่ ต้องถามตัวเองดังนี้

  • มีอาการมากกว่า 1ครั้งต่อสัปดาห์ ใช่หรือไม่
  • เหงื่อมากพอกันทั้งสองด้าน เช่น ฝ่ามือสองข้าง หรือ รักแร้สองข้าง ใช่หรือไม่
  • รบกวนชีวิตประจำวันพอสมควร ใช่หรือไม่
  • เริ่มเป็นก่อนอายุ 25 ปี ใช่หรือไม่
  • มีคนอื่นในครอบครัวมีอาการนี้ด้วย ใช่หรือไม่
  • เวลาหลับจะไม่มีอาการเหงื่อออกมาก ใช่หรือไม่

ถ้าคำตอบว่า ใช่ มากกว่า 5 ข้อ ก็แสดงว่าน่าจะเป็นโรคนี้แต่ต้องมาพบแพทย์ก่อนนะค่ะเพราะต้องแยกโรคประจำตัวบางอย่างที่ทำให้เหงื่อออกมากออกไป เช่นโรคไทรอยด์ วัยทอง


การรักษาปัญหาเหงื่อออกมากผิดปกติ ได้แก่




1. ทายาที่ส่วนผสมของเกลืออลูมิเนียมครอไรด์ ความเข้มข้น 10-12 % ก่อนนอน ทิ้งไว้ 6 ชั่วโมง ค่อนข้างระคายเคืองมากพอสมควร




2. แช่มือหรือเท้าในเครื่องมือ ไอออนโต (ไม่เหมือนที่ทำหน้าใสนะค่ะ) 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ อันนี้เท่าที่ทราบจะมีเฉพาะโรงพยาบาลหรือศูนย์ใหญ่ๆ เท่านั้นค่ะ




3. รับประทานยาควบคุมระบบประสาทที่ควบคุมการหลั่งเหงื่อ ได้ผลบ้างในคนที่เหงื่อออกมากทั้งตัว แต่ไม่ค่อยได้ผลกับรักแร้ หรือ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า




4. การผ่าตัด บ้านเราไม่ค่อยทำกันค่ะเพราะยุ่งยากพอสมควร




5. การฉีดยาโบท็อกซ์ ไปช่ายลดการกระตุ้นของระบบประสาทเฉพาะที่ ตอนนี้น่าจะเป็นวิธีเดียวที่เป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบันเพราะได้ผลดีมากกว่า 90 % โดยมีผลข้างเคียงน้อยมาก อยู่ได้นาน แต่ราคาค่อนข้างสูงพอสมควร







อรวิมล สุทธิศิริกุล


เอ็มเอไอ เลเซอร์คลินิก


http://www.skinlaser-hatyai.com/


2554-02-01

โปรโมชั่น เดือน กุมพาพันธ์- มีนาคม 2554

1. ยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด ด้วย Derma RF
ซื้อ 1 แถม 1
ไม่เจ็บ เห็นผลทันทีตั้งแต่หลังทำ
ดูดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเนื่องจากชั้นคอลลาเจนใต้ผิวเพิ่มขึ้น
ผิวหนังแข็งแรงขึ้น หนาขึ้น ใช้เวลาเพียง 90 นาที
ทุก 2 สัปดาห์

2. หน้าใส ได้เป็นคู่

กับ เครื่อง Hi-en MesoTherapy
พร้อม I-Derm วิตามิน และ Growth factor ซึ่งนำเข้าจากเกาหลีมาโดยเฉพาะ

ราคาคู่พิเศษ จาก 5,000 บาท เหลือเพียง 2,150 บาท

ลดสูงสุด ถึง 60 %


3. เลือก เลเซอร์ เพื่อการรักษา ทุกแบบ

ลดทันที 10 %

· FineScan 1550 รักษาสิว หลุมสิว
· Spectra Peel หน้าใส กระชับรูขุมขน ลดความมัน
· Laser Toning รักษาฝ้า ปรับสีผิว
· ND – YAG กระ กระลึก ปานดำ
· CO2 ไฝ เนื้องอก กระเนื้อ

สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่

www.skinlaser-hatyai.com