LINE

ติดต่อสอบถาม ได้ที่ 074-223420 หรือ 081-5988838
LINE ID : mailaser2006

2557-06-03

แนวทางการรักษาและดูแลฝ้า 2014

แนวทางการรักษาและดูแลฝ้า 2014

ฝ้า รอยดำบนผิวหน้าที่เกิดขึ้นง่ายแต่หายยาก
รอยดำจากฝ้าที่เราเห็นนั้น เกิดจากกลุ่มของเม็ดสีที่เซลล์สีผิวของเราสร้างขึ้นมามากผิดปกติ
ในธรรมชาติ เซลล์เม็ดสีของเราจะสร้างเซลล์สีออกมาทำให้เห็นเป็นสีผิวขาว เหลืองหรือคล้ำ ขึ้นกับ
เชื้อชาติ  เมื่อถูกกระตุ้นก็จะสร้างสีออกมามากผิดปกติ เป็นเปื้อนสีเข้มกว่าผิวปกติ
ฝ้า รอยดำ แสงแดด
ฝ้า รอยดำที่กระจายตัวเหมือนแผนที่ มักเป็นสองด้านของใบหน้าเท่าๆกัน
ฝ้าแบ่งออกเป็น 4 ประเภท


1.ฝ้าตื้น   Epidermal melasma
2.ฝ้าลึก     Dermal melasma
3.ฝ้าผสม     Mixed type melasma คือพบทั้งฝ้าลึกและฝ้าตื้นอยู่ด้วยกัน
4.ฝ้าแฝง  เป็นฝ้าที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า  Wood's light inapparent melasma 

ฝ้าผสม พบ เม็ดสีอยู่ในชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้

ตัวกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้แก่

  • แสงแดด โดยเฉพาะ UVA
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศหญิง ทั้งที่มีเป็นธรรมชาติ  เช่นในภาวะตั้งครรภ์ หรือ ได้รับฮอร์โมนเพศหญิงจากภายนอก เช่น ยาคุมกำเนิด ฮอร์โมนทดแทนในวัยทอง หรือมากับอาหารหรืออาหารเสริมบางอย่าง เช่น ว่านชักมดลูก  กวาวเครือ เป็นต้น
  • พันธุกรรม พบว่า มักพบฝ้าได้หลายคนในครอบครัวเดียวกัน
  • โรคบางอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับฮอร์โมนร่างกาย เช่น ไทรอยด์เป็นพิษ
แนวทางการรักษาฝ้า ในปัจจุบันล่าสุด 2014 
  • ทาครีมหรือยาที่มีส่วนผสมที่ช่วยทำลายเม็ดสี หรือ ยับยั้งการสร้างเซลล์สี เป็นพื้นฐานที่สำคัญมากในการรักษา การเลือกใช้ยาหรือไวน์เทนนิ่ง ขึ้นกับสภาพผิว รอยโรค (ฝ้า) การตอบสนองของเม็ดสี และมักต้องใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ยาหลายชนิดต้องใช้ในการดูแลของแพทย์เท่านั้น
  • ทาครีมกันแดด ที่มีค่า SPF มากกว่า 30 และต้องใช้สม่ำเสมอทุกวันแม้อยู่ในที่ร่มก็ตาม
  • หลีกเลี่ยงแสงแดด ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากจำเป็นควรสวมอุปกรณ์ป้องกันแดด เช่นหมวก ร่ม หรือ ผ้าปิดหน้า
  • งดหรือหลีกเลี่ยงยาคุมกำเนิด ฮอร์โมน หรือ อาหารเสริมบางชนิด
  • การทำทรีทเมนส์  ควรเป็นทรีทเมนส์ประเภทที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกออก เป็นการช่วยขจัดเม็ดสีส่วนเกินออกไปได้เร็วขึ้น อาทิเช่น การผลัดผิวด้วยกรดชนิดต่างๆ  การทำกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี  ทั้งการผลัดผิว หรือกรอผิว ควรทำโดยผุ้ที่มีความชำนาญเนื่องจากอาจทำให้เกิดผลเสียตามมา เช่น ผิวบาง ระคายเคืองง่าย รอยฝ้าดำขึ้นมากกว่าเดิม หรือมีการอักเสบของผิว เกิดรอยด่างขาว หรือ ด่างถาวร 
  • การรักษาด้วยแสง หรือ เลเซอร์   เลือกทำในรายที่เป็น "ฝ้าลึก" หายยาก ไม่ค่อยตอบสนองกับการใช้ยาหรือการดูแลวิธีอื่น ในคนเอเชียรวมถึงคนไทยพบ ฝ้าผสม (ตื้นและลึก)  ได้ประมาณ 60-80% และการศึกษาในปัจจุบันยังพบว่าในคนที่เป็นฝ้าจะมีการขยายตัวของหลอดเลือดฝอย ทำให้ฝ้าจางหายได้ยากขึ้นจากการใช้ยาเพียงอย่างเดียว
เลเซอร์ที่ใช้รักษาฝ้าได้ในปัจจุบัน ได้แก่
  • ไอพีแอล IPL หรือ แสงความเข้มสูง ใช้ในการช่วยทำให้ฝ้าจางได้เร็วขึ้นแต่มักไม่ถาวร และต้องทำในที่ที่เชื่อถือได้เท่านั้น เพราะ ไอพีแอลทำให้เกิดปัญหาผิวไหม้ หน้าลอก และรอยดำรักษายากขึ้นได้
  • เลเซอร์แย็ค ชนิด คิวสวิทย์ เอ็นดี แย็ค Q-switch ND : Yag 1064 เป็นเลเซอร์ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อช่วยในการทำลายเม็ดสีโดยเฉพาะ ด้วยลักษณะพิเศษของลำแสงที่ถูกออกแบบให้เรียบเป็นเส้นตรง จึงช่วยเกลี่ยทำลายเม็ดสีได้โดยไม่เกิดความร้อนสูงจนเกิดปัญหาผิวไหม้ เรียกว่า การทำเลเซอร์โทนนิ่ง " Laser Toning 
ฝ้าและคำแนะนำการทำเลเซอร์ด้วยเครื่อง Spectra VRM III จากประเทศเกาหลี
ซึ่งปัจจุบันเป็นเลเซอร์ที่ได้รับการยอบรับเพื่อรักษาฝ้าที่รักษาได้ยาก

เลเซอร์ สเปกตร้า วีอาร์เอ็ม เพื่อรักษาฝ้า
  • เลเซอร์กลุ่มแฟรกชันนอล Fractional laser   อาทิเช่น Frexel หรือ Finescan 1550 ทำลายเม็ดสีโดยการทำลายให้หลุดลอกออกไป เป็นการลดจำนวนเม็ดสีรวมถึงเซลล์สี ช่วยในการควบคุมการเกิดใหม่ของฝ้าได้ดี
    ตัวอย่างการทำเลเซอร์ฟายแสกน
  • เลเซอร์กลุ่มที่ช่วยลดขนาดและทำลายเส้นเลือดฝอย   
ตัวอย่างเลเซอร์กลุ่มรักษาเส้นเลือดฝอย

ภาพการตรวจพิเศษพิสูจน์ให้เห็นเส้นเลือดฝอยจำนวนมากในบริเวณที่เกิดฝ้า
เช่นเลเซอร์ในกลุ่ม Long pulse ND : Yag :ซึ่งช่วยให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวตีบเล็กลง ฝ้าจางและไวต่อแสงแดดน้อยลง เป็นเทคนิคที่เรียกว่า Dual Toning ซึ่งนิยมกันมากในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี  พบว่าช่วยดูแลและป้องกันการกลับเป็นซ้ำของฝ้าได้ดี




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น