ผิวหนังและตาเป็นอวัยวะที่ต้องเปิดรับแสงแดดได้มากที่สุด แม้ว่าผมและเล็บจะมีโอกาสได้รับมากที่สุดเช่นกันแต่ไม่ไวต่อแสงและมีความสำคัญมากในทางการแพทย์การได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพ ผิวหนัง ตา และระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายโดยเฉียบพลันหรือสะสมเรื้อรัง
ผลกระทบเฉียบพลันได้แก่ ผิวหนังแดง (Erythema) ผิวหนังเกรียมและกระจกตาอักเสบจากแสงแดด (Photokeratitis)
ผลกระทบสะสมเรื้อรังเช่น มะเร็งผิวหนัง ผิวหนังแก่ก่อนวัย โรคตาเช่นต้อเนื้อ ต้อลม(Pterygium) และพยาธิสภาพของกระจกตา (Keratopathy)
ขณะที่ UV-B ก่อให้เกิดผิวหนังเกรียมและมะเร็งผิวหนังเป็นส่วนใหญ่ UV-A มีผลกระทบต่อเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังและความสามารถเปลี่ยนโครงสร้างของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและเนื้อเยื่ออีลาสติคดังนั้นจึงไปเร่งอายุขัยให้กับเซลล์ผิวหนัง เราจึงมีความจำเป็นในการทำความเข้าใจเรื่องความสามารถของผิวหนังในการปรับตัวต่อรังสีอัลตราไวโอเลตโดยก่อให้เกิดเซลล์สร้างสีสีแดงหรือสีน้ำตาล (Tan) ซึ่งมีผลต่อต้านการรับรังสีอัลตราไวโอเลตในขณะที่ตามนุษย์ไม่มีความสามารถนี้
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันผิวหนังคือการสวมเสื้อผ้า หมวก กางเกง เสื้อผ้าที่รังสีอัลตราไวโอเลตผ่านได้ควรระบุชัดเจน ส่วนผิวที่ไม่สามารถป้องกันได้โดยเสื้อผ้าควรใช้ยากันแดดที่ประกอบด้วยตัวกรอง UV-A และ UV-B ระหว่างได้รับแสงแดดครั้งแรกควรใช้ยากันแดดที่มีแฟคเตอร์ป้องกันแสงแดด SPF (Sun Protection Factor) ประมาณ 30
เด็กและทารกควรได้รับการระมัดระวังมากเป็นพิเศษความสามารถป้องกันแสงแดดของยากันแดดไม่เพียงขึ้นอยู่กับคุณภาพแต่รวมไปถึงการใช้อย่างถูกวิธี คนส่วนใหญ่ทายากันแดดน้อยเกินไปและทาไม่บ่อยอย่างเพียงพอ
ยากันแดดที่มีแฟคเตอร์ป้องกันแสงแดดต่ำกว่า 15 ควรจะต้องทาทุก 2 ชั่วโมง ควรใช้ก่อนรับแสงแดดและควรทาซ้ำหลังการว่ายน้ำถ้าใช้อย่างถูกวิธีจะช่วยป้องกันผิวเกรียม มะเร็งผิวหนังและการแก่ก่อนวัย
การเลือกใช้ยากันแดด
แฟคเตอร์ป้องกันแสงแดดที่ระบุไว้ในผลิตภัณฑ์เป็นตัวบอกประสิทธิภาพที่สูงขึ้นตามตัวเลขเนื่องจากอันตรายต่อผิวหนังที่ได้รับจาก UV-A และยังไม่มีมาตรฐานการกรอง UV-Aของยากันแดดจึงควรตรวจสอบวันหมดอายุของตัวกรอง UV-A ในผลิตภัณฑ์ด้วยไม่ควรใช้ยากันแดดเพื่อการอยู่กลางแดดนานขึ้นแต่ว่าควรจำกัดการได้รับแสงแดดเช่นกันจึงเป็นเหตุผลว่าควรทายากันแดดซ้ำบ่อยๆโดยเฉพาะบริเวณที่อ่อนและไวต่อแสงเช่น จมูก หู คอ หลังส่วนบน หลังเท้า ฯลฯ ให้เลือกยากันแดดที่เหมาะสมสำหรับแต่ละชนิดผิวและระดับดัชนีรังสีอัลตราไวโอเลต ดังตาราง
ตารางที่ 2 แสดง แฟคเตอร์ป้องกันแสงแดดที่แนะนำสำหรับแต่ละชนิดผิว ที่ระดับดัชนีรังสีอัลตราไวโอเลต ต่างๆ
UV INDEX | ชนิดผิวที่ 1 | ชนิดผิวที่ 2 | ชนิดผิวที่ 3 | ชนิดผิวที่ 4 |
1-3 | 15 | 12 | 9 | 6 |
4-6 | 30 | 25 | 15 | 12 |
7-9 | 50 | 40 | 30 | 20 |
>10 | 60 | 50 | 40 | 30 |
ตารางที่ 1 แสดงชนิดผิวหนัง
ชนิดผิว | สีผิว | สีตา | สีผม |
ชนิดผิวที่ 1 | ขาว /อาจมีกระเล็กน้อย | ฟ้า | แดง |
ชนิดผิวที่ 2 | ขาว | ฟ้า / เขียว | บลอนด์ / น้ำตาล |
ชนิดผิวที่ 3 | ขาว | น้ำตาล / เทา | น้ำตาล |
ชนิดผิวที่ 4 | ดำหรือน้ำตาลเข้ม | น้ำตาล | น้ำตาล/ดำ |
นอกจากชนิดผิวหนังแล้วปฏิกิริยาที่เกี่ยวกับโรคผิวหนังและโรคตายังสามารถเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพการป้องกันได้เช่นปฏิกิริยาความไวต่อแสงที่เกิดจากยาบางชนิดที่รักษาโรคผิวหนังเช่นสารเคมีที่มีคุณสมบัติดูดซับแสงในช่วง UV-B และ UV-A (Psoralens) สารเคมีซึ่งอยู่ในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดมีความสามารถดูดซับแสงที่ความยาวคลื่น 405 nm (porphyrin)น้ำมันดำแลถ่านหิน ยาปฏิชีวนะหรือยาแก้อักเสบชนิดต่างๆและพืชบางชนิด ฯลฯ สามารถก่อให้เกิดผิวหนังแดงแม้เพียงได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตเป็นปริมาณเล็กน้อย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น